ป้องการการคลุมดำที่ข้อความ ss Product Information ผลิตภัณฑ์เอมสตาร์

Thursday, September 2, 2010

ผลิตภัณฑ์จาก Aim Star Network

ผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยม แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary Diet)
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ถนอมผิว (Skin Care)
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Color Cosmetics)
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (Personal Care)
5. กลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home Care)

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary Diet) ประกอบด้วยผลิตภััณฑ์ภายใต้ชื่อ “ไวทอลสตาร์ - Vital Star” ด้วยการบวนการผลิตที่คำนึงถึงผู้บริโภค จึงมุ่งเน้นถึงคุณภาพ และความปลอดภัย เพื่อความมั่นใจต่อการมีสุขภาพที่ดี
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ถนอมผิว แอสนี่ (ASNI Skin Care Products) เป็นผลิตภัณฑ์ของ เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค ที่ผลิตขึ้นภายใต้ชื่อ “แอสนี่ - ASNI” ที่ผ่านการวิจัยค้นคว้า และพัฒนาคุณภาพอย่างพิถีพิถัน ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่าแก่การดูแลผิวหน้าของทุกคน
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางชุดสีสัน อแสนี่ (ASNI Color Cosmetics) อีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายใต้ชื่อ “แอสนี่ - ASNI” เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุดสีสันครบชุด เพื่อการเติมแต่งสีสันบนใบหน้า และส่วนผสมสำหรับการบำรุงผิวอยู่ในผลิตภัณฑ์ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อมอบความงามที่สมบูรณ์แบบให้แก่ทุกคน
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (Personal Care Products) ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับเรือนร่าง อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และบำรุงผิวกาย (บอดี้ซอฟท์ - Body Soft) ผลิตภัณฑ์เพื่อการปกป้องและดูแลสุขอนามัยในช่องปาก (โพรฟี่ - Profi) ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดล้วนอุดมด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่มอบคุณค่าพิเศษ เพื่อคุณภาพ และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยผ่านกระบวนการวิจัย และค้นคว้าอย่างสมบูรณ์แบบด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยตลอดเวลา
5. กลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home Care Products) ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้เป็นประจำในครัวเรือน ภายใต้ชื่อ “ไทดี้โฮม - Tidy Home” ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดกระจก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ทุกผลิตภัณฑ์มีคุณลักษณะที่โดดเด่น มีประสิทธิภาพ และมีความเข้มข้น เพื่อความประหยัด และคุ้มค่าต่อการใช้เป็นประจำ

คำถามที่น่ารู้ เกี่ยวกับน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

Q : อนุมูลอิสระ (Free Radicals) คืออะไร ?

A : อนุมูลอิสระ คือโมเลกุลชนิดหนึ่งที่ขาดอิเล็กตรอน ทำให้ไม่เสถียรและว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น (Oxidation) ในการทำลายเซลล์ในร่างกาย อนุมูลอิสระจึงสามารถเป็นพิษต่อร่างกายได้ ถ้ามีมากในเซลล์ก็จะทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ มีผลต่อการอักเสบ และการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวอาจมีผลต่อความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ (Aging) และอาจรุนแรงถึงการมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น มะเร็ง เส้นเลือดตีบ ต้อกระจก โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

Q : แอนตี้อ็อกซิแดนท์ (Antioxidant) คืออะไร ?

A : แอนตี้อ็อกซิแดนท์ (Antioxidant) หรือเรียกว่า สารต้านอนุมูลอิสระ คือสารที่สามารถทำลายโมเลกุลที่เป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในร่างกาย เช่น แคตตาเลส (Catalase) กลูตาไธโอน รีดัคเทส (Glutathione Reductase) ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase) เป็นต้น ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในอาหาร เช่น วิตามินอี วิตามินซี แคโรทีนอยด์ แกมมา ออไรซานอล เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้จะทำลายอนุมูลอิสระ โดยการจับกับอนุมูลอิสระ ลดการเกิดปฏิกิริยา ณ จุดตั้งต้น หรือการเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่

Q : แกมมา ออไรซานอล มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ใช่หรือไม่ ?

A : ใช่ แกมมา ออไรซานอล เป็นสารที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามิน อี ในการต้านอนุมูลอิสระ แต่จัดเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่นที่แรงกว่าวิตามิน อี นอกจากนี้ แกมมา ออไรซานอล ยังมีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C) ให้กับร่างกายอีกด้วย

Q : อาการวัยทองเกิดขึ้นในอายุประมาณเท่าใด ในผู้ชายเป็นวัยทองได้หรือไม่ ?

A : อาการวัยทองเกิดขึ้นเมื่ออายุย่างเข้า 40-45 ปีขึ้นไป เป็นทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย เช่น อารมณ์และจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย เช่น ผิวหนังบางลง แห้ง มีรอยย่น ผมบางและร่วงจนศีรษะล้านเป็นหย่อม ๆ ความจำระยะสั้นจะเสีย มีอาการร้อนวูบวาบ ชาปลายนิ้วมือนิ้วเท้า เหงื่อออกง่าย ปวดเมื่อยโดยไม่มีสาเหตุ ไม่กระฉับกระเฉง คิดช้า นอนไม่หลับ กระดูกบาง มดลูกหย่อน ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ที่แปรปรวน จะมีอาการหงุดหงิด เครียด กังวล ท้อแท้ เพ้อ คลุ้มคลั่ง หลงลืม ซึมเศร้า

Q : การรับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญ คือ แกมมา ออไรซานอล มีส่วนช่วยให้อาการวัยทองดีขึ้นหรือไม่ ?

A : มีเอกสารตีพิมพ์หลายฉบับ เช่น James Meschino, DC ได้เขียนไว้ใน Article from the November 2002 issue of Skin Inc. Magazine. กล่าวถึงการที่ร่างกายได้รับแกมมา ออไรซานอล จะทำให้อาการวัยทองต่าง ๆ ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายของแต่ละคน

Q : เป็นโรคเบาหวาน่จะรับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวได้หรือไม่ ?

A : เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า น้ำม้นรำข้าวและจมูกข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่ส่วนประกอบที่สำคัญในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวมีสารอาหารหลายชนิด ช่วยให้ระบบการทำงานของเซลล์ในร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส่วนประกอบที่เรียกว่า แกมมา ออไรซานอล หรือกรดเฟรูลิค ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว มีฤทธิ์ในกระบวนการเผาผลาญอาหารประเภทน้ำตาล จึงสามารถช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

Q : รับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวแล้ว จะทำให้อ้วนได้หรือไม่ ?

A : เรามักจะกังวลกับความอ้วนอยู่เสมอ เมื่อรับประทานอาหารประเภทที่เป็นไขมัน แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องคือ ความอ้วนหรือการสะสมของไขมันในร่างกาย เกิดจากการได้รับปริมาณอาหารประเภทแป้งหรือน้ำตาลและไขมันมากเกินไป ซึ่งหมายถึงได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย แต่การรับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว 1 เม็ด จะให้พลังงานเพียง 3 แคลอรี่เท่านั้น ถ้ารับประทานวันละ 2 เม็ด เราก็จะได้พลังงานเพียงแค่ 6 แคลอรี่ ซึ่งไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เราอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน เพราะร่างกายเราต้องการพลังงานถึงวันละ 1,500-2,500 แคลอรี่

Q : คนเป็นโรคหัวใจรับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวแล้วจะดีขึ้นจริงหรือไม่ ?

A : คำว่า"โรคหัวใจ"นั้น มีหลายประเภทด้วยกัน อาจเป็นโรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือโรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งปัจจุบันโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งก็คือ โรคหลอดเลือดและหัวใจ ที่มีการตีบตันของหลอดเลือดอันเนื่องมาจากการพอกตัวของไขมันในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบ เลือดส่งผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและตายในที่สุด ส่วนประกอบในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว โดยเฉพาะ แกมมา ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับไขมันในเลือดได้ ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการพอกตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด อีกทั้งยังสามารถลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะการณ์อุดตันของหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้สุขภาพและการทำงานของหัวใจดีขึ้นได้ หรือลดความรุนแรงของโรคลงได้ แต่ที่สำคัญถ้าหากมีปัญหาโรคหัวใจก็คงต้องรับการตรวจ และดูแลรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันด้วย เพราะน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวไม่ใช่ยารักษาโรค

Q : น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อ จะเลือกรับประทานยี่ห้อไหนดี ?

A : น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากรำข้าว ทุกยี่ห้อสกัดมาจากรำข้าว แต่ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการบริโภคน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว คือ คุณภาพและความปลอดภัย เราไม่สามารถบอกได้ว่ายี่ห้อไหน ผลิตกันอย่างไรบ้าง การควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นอย่างไร แต่สำหรับน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว "ไวทอลสตาร์" เป็นน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวที่ผ่านการบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานอย่างถูกต้องและชัดเจน สามารถตรวจสอบได้โดยมีการเปิดเผยอย่างชัดเจนถึงแหล่งผลิต ที่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกรำข้าวที่นำมาสกัดน้ำมัน จะต้องสดใหม่ผ่านการขัดสีไม่เกิน 24 ชั่วโมง เพื่อคงคุณค่าวิตามินและสารอาหารสำคัญ โดยในการผลิตทุกครั้ง จะมีการตรวจสอบว่าเป็นรำข้าวสดจริงหรือไม่ โดยการเก็บตัวอย่างรำข้าวด้วยเครื่องเก็บตัวอย่างอัตโนมัติ (Electro Mechanical Sample Taker) และนำรำข้าวมาตรวจสอบคุณภาพด้วยเครื่อง NIRS (Near-Infrared System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบที่ทันสมัยที่สุดในโลก เพราะสามารถตรวจสอบได้ละเอียดและถูกต้องภายใน 2 นาที ในขณะที่วิธีตรวจสอบทั่วไปจะใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว"ไวทอลสตาร์"จึงเป็นน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสูง ที่สามารถผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศญี่ปุ่น และ อเมริกา ให้สามารถนำน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวเข้าไปจำหน่ายได้

ออไรซานอล (Oryzanol) คืออะไร?

ออไรซานอล (Oryzanol) เป็นสารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรากศัพท์มาจากคำว่า โอรีซา ซัลทิวา (Oryza Sativa) ซึ่งแปลว่า ข้าว เนื่องจากพบออไรซานอดลมากที่สุดในข้าว โดยเฉพาะในส่วนผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนของข้าวที่ยังไม่มีสีออก ที่เราเรียกว่า รำข้าว ดังนั้น ออไรซานอล จึงพบในน้ำมันรำข้าวเท่านั้น ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น ออไรซานอล มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามิน อี ถึง 6 เท่า ในภาวะที่อยู่ในน้ำ

Gamma Oryzanol คืออะไร ?

แกมมา ออไรซานอล และอนุพันธ์ของกรด เฟรูลิค(Ferulic acid) เป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ซึ่งมีคุณสมบัติหลายประการที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ซึ่งหมายถึงการต่อต้านอนุมูลอิสระ หรืออาจจะกล่าวได้ง่าย ๆ ก็คือ การลดอัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ทำให้ลดอาการแก่ก่อนวัย (Anti-aging) และช่วยป้องกันการเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ ที่เรียกกันว่าเซลล์มะเร็ง (Cancer)
2. มีความสามารถในการป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด
3. ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการสร้างเม็ดสี ดังนั้นก็จะช่วยลดอัตราการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างสดใสขึ้น
4. ลดระดับของไขมันในเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอุดตัน
5. เพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endophine Hormone) ช่วยผ่อนคลายความเครียดและทำให้หลับสบาย
6. กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone)
7. ลดการสูญเสียแคลเซี่ยม ทำให้ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน Bone Degeneration (Osteoporosis)
8. ลดอัตราอาการที่เกิดจากภาวะวัยทอง (Menopause)

Calphyll แคลฟิลล์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมิลค์แคลเซี่ยม โซเดียมคอปเปอร์ คลอโรฟิลลินและแร่ธาตุ


โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือโรคที่มีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลงเรื่อย ๆ และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างภายในของกระดูก ทำให้กระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้ตามปกติ กระดูกก็จะหักได้ง่ายกว่าปกติ บางคนก็เรียกว่าโรคกระดูกผุ หรือโรคกระดูกบาง ซึ่งกระดูกที่บางลงเรื่อย ๆ นั้นจะค่อย ๆเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น โรคกระดูกพรุน จึงถือเป็นมหันตภัยเงียบ บ่อยครั้งที่กว่าเราจะรู้ตัวกระดูกก็หักไปแล้ว
โรคกระดูกพรุนพบมากในผู้สูงอายุและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะมีความหนาแน่นของกระดูกลดลงอย่างมาก เมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสกระดูกหักเพิ่มสูงขึ้นด้วย เช่น การทรุดหักของกระดูกสันหลัง การหักของกระดูกสะโพก และการหักของกระดูกต้นขา โรคกระดูกพรุนจึงมีผลต่อคุณภาพชีวิตตั้งแต่ในวัยกลางคนเป็นอย่างมาก การป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ธรรมชาติของกระดูกจะมีการสะสมแคลเซี่ยมซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญ จนเมื่ออายุประมาณ 30-35 ปี ร่างกายจะเริ่มมีการสลายแคลเซี่ยมจากกระดูกมากขึ้น หากร่างกายไม่ได้รับปริมาณของแคลเซี่ยมเสริมอย่างเพียงพอ กระดูกก็จะบางลง เกิดอาการกระดูกพรุน เปราะ และแตกหักง่าย


กระบวนการเกิดของกระดูกในร่างกาย
กระดูกในร่างกายที่มีลักษณะเป็นแท่ง ๆ นั้นประกอบด้วย กระดูก 2 ชนิด คือ Cortical Bone เป็นกระดูกส่วนเปลือกนอก ซึ่งมีลักษณะแข็งและจับตัวกันอย่างหนาแน่น เป็นส่วนที่มองเห็นจากด้านนอกของโครงกระดูก และ Cancellous Bone จะเป็นส่วนของเนื้อกระดูกข้างในซึ่งกระดูกแต่ละท่อนของร่างกายจะประกอบด้วยกระดูกทั้งสองแบบในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ตำแหน่งของกระดูกนั้น ๆ เช่น ตรงส่วนกลางของกระดูกแขนขา (Long bone) จะประกอบด้วย Cortical bone เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่บริเวณส่วนปลายจะมี Cancellous bone ในปริมาณที่มากขึ้น สำหรับกระดูกสันหลังจะประกอบด้วย Cancellous bone เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกระดูกทั้งสองแบบ จะมีความเหมาะสมต่อการรับแรงกด หรือแรงกระแทกในลักษณะแตกต่างกัน และมีการตอบสนองต่อเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของแคลเซี่ยมแตกต่างกันด้วย
โครงสร้างของกระดูกประกอบด้วยคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งสำหรับการรองรับการก่อตัวของกระดูก เช่นเมื่อมีแคลเซี่ยมฟอสเฟตมาตกผลึกจับตัวกับคอลลาเจน ก็จะแปรสภาพกลายเป็นของแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นได้ หากมองลึกลงไปถึงระดับเซลล์ เราจะพบว่ากระดูกประกอบด้วยเซลล์หลัก 2 ชนิด คือ 1.เซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูก (Osteoblast) 2.เซลล์ที่ทำหน้าที่สลายกระดูก (Osteoclast) การสร้างและการสลายจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สำหรับในช่วงวัยเด็ก จะมีการสร้างมากกว่าการทำลาย จึงมีการสะสมของแคลเซี่ยมมากที่สุดจนกระทั่งเมื่อร่างกายหยุดสูงแล้ว กล่าวคือ Epiphyxial Plate ปิดแล้วกระดูกยังสามารถมีการหนาตัวได้อีกเล็กน้อยจนอายุประมาณ 30 ปี ซึ่งการสร้างและการทำลายมีเท่า ๆ กัน ก็ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกคงที่อยู่ระยะหนึ่ง เมื่ออายุมากขึ้นการทำลายมากกว่าการสร้าง ร่างกายจึงเริ่มสูญเสียเนื้อกระดูกปีละ 0.5-1% ไปเรื่อย ๆ โรคกระดูกพรุนมิได้หมายความว่าผู้สูงอายุทุกคน จะต้องมีอาการของกระดูกพรุนมิได้หมายความว่าผู้สูงอายุทุกคน จะต้องมีอาการของกระดูกสันหลังทรุด หรือกระดูกเชิงกรานหัก เพราะร่างกายของคนเรามีการสะสมของเนื้อกระดูกในช่วงเด็ก ๆ และวัยรุ่นไม่เหมือนกัน ในคนที่มีการสะสมของเนื้อกระดูกช่วงวัยรุ่นมากแม้เมื่อตอนสูงอายุ และร่างกายเริ่มมีการทำลายของกระดูก เขาก็อาจจะยังมีความหนาแน่นของกระดูกมากพอที่จะดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
พันธุกรรม คนผิวขาวมีโอกาสเป็นมากกว่าคนเอเซีย และคนผิวดำ เพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศชาย ฮอร์โมน ขาดเอสโตรเจนฮอร์โมน, ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป, ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป, ได้รับยาทดแทนไทรอยด์ฮอร์โมน พฤติกรรม เช่น สูบบุหรี่จัดหรือไม่ได้ออกกำลังกาย
โภชนาการ ได้รับแคลเซี่ยมจากอาหารน้อยเกินไปหรือไม่เพียงพอ
จะทราบได้อย่างไรว่ากระดูกเริ่มพรุนแล้ว
ในปัจจุบันเราสามารถวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density Measurement) ได้ด้วยเครื่อง DEXA (Dual Energy X-ray Absorptionmetry) โดยการวัดความหนาแน่นของกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา ปลายกระดูกข้อมือ และนำค่าที่วัดได้ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติของเพศ และช่วงอายุเดียวกัน สำหรับการวินิจฉัยว่าอยู่ในภาวะกระดูกพรุน เราจะดูค่า BMD < 2.5 SD (Standard Diviation) ของประชากรในวัยหนุ่มสาว ถ้ากระดูกมี Bone Mineral Density (BMD) < 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสเกิดกระดูกหักได้ง่ายมาก การวัดความหนาแน่นของกระดูก 2 ครั้งโดยห่างกัน 1-2 ปี จะช่วยให้สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์โรคกระดูกพรุนได้ และเป็นวิธีที่ใช้ประกอบในการตัดสินใจวางแผนการป้องกัน หรือรักษาโรคกระดูกพรุนต่อไป เราไม่นิยมการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือด เพราะยังไม่มีความแม่นยำเพียงพอ และมีค่าใช้จ่ายสูง
การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
เนื่องจากโดยปกติทั่วไป กระดูกจะมีทั้งการสร้างและการสลาย เมื่ออายุมากขึ้นการสลายจะมีมากกว่าการสร้าง โดยเฉพาะในกรณีที่ร่างกายขาดสารอาหารที่ส่งเสริมกระบวนการสร้างกระดูก อาหารจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ และการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เราสามารถทำได้ตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว เพื่อให้เราสะสมความหนาแน่นของกระดูกไว้ได้มาก และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้น
แคลเซี่ยม Calcium
หน้าที่หลักสำคัญของแคลเซี่ยม คือ การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และแคลเซี่ยมยังมีหน้าที่สำคัญ ในการสร้างเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายอีกด้วย ได้แก่ ช่วยการแข็งตัวของเลือด เกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจเป็นปกติ และช่วยให้ส่งสัญญาณประสาทมีความถูกต้อง ช่วยรักษาสมดุลของกรด-ด่างในเลือด และรักษาระดับความดันโลหิตให้คงที่ เมื่อแคลเซี่ยมในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติ ร่างกายจะทดแทนด้วยการดึงแคลเซี่ยมจากกระดูกมาใช้ และทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดน้อยลง โดยทั่วไปแคลเซี่ยมจะถูกดูดซึมผ่านผนังของลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด และจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ประมาณ 10-40% ของแคลเซี่ยมที่เรารับประทานเข้าไป ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้น้อยลง ได้แก่ ภาวะขาดวิตามินดี, การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง, อาหารที่มีกรดออกซาลิค กาแฟ, แอลกอฮอล์หรือการสูบบุหรี่ ส่วนอาหารที่ให้แคลเซี่ยมมาก ได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม แต่ต้องระวังเรื่องไขมันและคลอเลสเตอรอลด้วย รองลงมาได้แก่ ปลาหรือสัตว์ที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น กุ้งแห้ง ปลาป่น ปลากระป๋อง ถั่ว ลูกนัท ผักใบเขียว เช่น กวางตุ้ง ผักคะน้า ผักบล็อคโคลี่ (เป็นกลุ่มผักที่มีแคลเซี่ยมสูง)
การบริโภคแคลเซี่ยมทดแทนจะช่วยลดอัตราการสูญเสียของแคลเซี่ยมในกระดูก ดังนี้ในผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนควรได้รับแคลเซี่ยมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนควรได้รับแคลเซี่ยมวันละ 1,500 มิลลิกรัม

Super Cider น้ำองุ่นแดงผสมแอปเปิ้ลหมัก

ในปัจจุบันหนุ่มสาวสมัยใหม่ รวมไปถึงคนยุคเก่าแต่ทันสมัยไม่แพ้กัน ต่างหันมาให้ความนิยมกับการดูแลสุขภาพแบบง่ายๆ กันมากขึ้น โดยเฉพาะการมองหาสารอาหารที่จะเติมเต็ม ให้ร่างกายทุกวัน ด้วยชีวิตการทำงานและสังคมที่เร่งรีบ เครื่องดื่มที่มีประโยชน์จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น
สารอาหารสำคัญ
  • ไลโคปีน,
  • Apple Cider หรือ น้ำแอปเปิ้ลหมัก
  • คอลลาเจล,
  • Nano Co-enzyme Q10 นาโน โคเอนไซม์ คิวเท็น
Nano Co-enzyme Q10 นาโน โคเอนไซม์ คิวเท็นปกติจะเป็นสารตามธรรมชาติในร่างกายของเรา เพราะร่างกายสามารถผลิตได้เอง "โคเอนไซม์ คิวเท็น"ทำหน้าที่หลัก ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และไขมัน ให้อยู่ในรูปของพลังงานเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ จึงนับเป็นสารตัวสำคัญที่ให้พลังงานกับอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ไต

 - ช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอล ไม่ให้จับตัวอยู่ตามผนังหลอดเลือด ลดปัญหาการอุดตันของเส้นเลือด
- ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรือ อัลไซเมอร์
- ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ลดปัญหาของริ้วรอยเหี่ยวย่น
โดยทั่วไป ปริมาณของโคเอนไซม์ คิวเท็น จะสร้างได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น หรือร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนแอพักผ่อนไม่เพียงพอ การได้รับยา หรือสารเคมี บางชนิด แม้แต่ความเครียด ก็สามารถทำให้ปริมาณของ โคเอนไซม์ คิวเท็น
ในร่างกายลดลง ดังนั้นอาหารเสริมจึงเข้ามามีบทบาท ช่วยเสริมสร้างปริมาณของ โคเอนไซม์ คิวเท็น ให้มากพอต่อการ
ป้องกันการเสื่อมสภาพ ของเซลล์ในร่างกาย เพื่อสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใส
1. Collagen คอลลาเจน
กาลเวลาผ่านไป ร่างกายได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด สารเคมี อนุมูลอิสระต่างๆทำให้ ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นตัวของคอลลาเจนสูญเสียไป แต่คอลลาเจนจะมีความเหนียวเพิ่มขึ้น ความสามารถในการอุ้มความชื้นน้อยลง และมีการแตกหัก ทำลายของโครงสร้าง คอลลาเจน เกิดขึ้นทั่วไป สิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ ก็คือความเต่งตึงของ
ผิวหนังที่ลดลง คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเยื่อ เกี่ยวพันของร่างกาย ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก
และข้อ โดยจะอยู่ในรูปของไฟเบอร์ มีคุณสมบัติทำให้เกิดความยืดหยุ่นตัว ได้ดี กระดูกและข้อมีความแข็งแรงซึ่งนับได้ว่า คอลลาเจน เป็นโครงสร้างที่สำคัญของอวัยวะต่างๆ ดังกล่าว ปัจจุบันการรับประทานคอลลาเจนเสริมจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก
2. Lycopene ไลโคปีน
เป็นสารไฟโตเคมิคอลชนิดหนึ่งที่ทำให้มะเขือเทศมีสีแดง ที่เรียกว่า แคโรทีนอยด์ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความผิดปกติ
และความเสื่อมของเซลล์ รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งของกระเพาะอาหารได้ รวมทั้งยังช่วยในการป้องกัน โรคหัวใจได้เอีกด้วย การรับประทาน ไลโคปิน ยังให้ผลกับผิวพรรณเปล่งปลั่งแบบมีเลือดฝาด สีอมชมพู

3. Apple Cider แอปเปิ้ล ไซเดอร์ หรือ น้ำแอปเปิ้ลหมัก
เป็นที่รับรู้ว่าให้ผลดีต่อสุขภาพ และได้ถูกนำมาใช้ เพื่อปรุงแต่งสำหรับการรับประทานร่วมกับอาหารมายาวนานกว่า50 ปี ปัจจุบันพบว่าน้ำแอปเปิลไซเดอร์สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ลดความดันโลหิต
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งให้เติบโตได้ช้าลง รวมถึงได้พบว่าการดื่มน้ำแอปเปิ้ลจะช่วยให้รู้สึกอิ่มทำให้ใช้ควบคุมน้ำหนักได้

 

Wednesday, September 1, 2010

Slenta กาแฟ ปราศจากน้ำตาลและคอเลสเตอรอล

กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผงสูตรปราศจากน้ำตาลและคลอเรสเตอรอล
รส ชาติหอมของกาแฟแท้ๆ พร้อมส่วนผสมพิเศษเพื่อสุขภาพ


1. กรีน คอฟฟี่ บีน อุดมด้วยกรดคลอโรฟีล และโพลีฟินอล ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าชาเขียวและ สารสกัดจากเม็ดองุ่น ให้ผลลัพธ์ที่ดีในการป้องกันการแก่ก่อนวัยและยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและยังช่วยลดอาการไมเกรนได้อีกด้วย
2. แอลคาร์นิทีน แอล-คาร์เตรท ทำหน้าที่ในการนำไขมันเข้าสู่เซลล์เพื่อเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน เป็นอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งทำให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
3. โครเมี่ยมฟิโลคิเนท สารอาหารที่มีส่วนสำคัญอย่าง ยิ่งในการช่วยเผาผลาญน้ำตาลกลูโคส คาร์โบไฮเดรตและไขมันจึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
4. ซูกราโลส เป็นสารที่ให้ความหวาน โดยปราศจากพลังงาน ทำมาจากน้ำตาลแต่ให้รสชาติดีกว่าน้ำตาลและมีความหวานมากกว่าน้ำตาล 600 เท่า ได้รับการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมากกว่า 100 การวิจัยและตลอดระยะเวลาการติดตามผลการวิจัยมากว่า 20 ปี จึงสามารถยืนยันได้ถึงความปลอดภัยต่อการบริโภค
5. ฟลุคโตโอลิโกแซคคาร์ไรด์ เป็นคาร์โบไฮเดรต หรือน้ำตาลที่มีโมเลกุลประกอบด้วย โมโนแซคคาร์ไรด์ ตั้งแต่ 3-10 โมเลกุล ร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้เมื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่จุลินทรีย์ในลำ ไส้ใหญ่ก็จะย่อยและดูดซึมเป็นอาหารทำให้จุลินทรีย์เหล่านี้เป็นจุลินทรีย์ ที่ดีต่อร่างกาย ช่วยรักษาสมดุลในลำไส้ใหญ่ ทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูกและลดอาการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ออกแบบมาในรูปแบบซองพร้อมชง ทำให้รสชาติของกาแฟนั้นกลมกล่อมยิ่งขึ้น

About Blog

Blog นี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น "คลังข้อมูล" แก่กลุ่มสายงานเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด ท่านผู้ใดสนใจร่วมธุรกิจ หรือ ต้องการ dowload ข้อมูล กรุณาติดต่อผ่าน Email: cherrypowergroup@gmail.com